วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

สมาร์ททีวีอีกหนึ่งของดีที่ควรมีไว้ที่บ้าน



                    ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปวิถีการใช้ชีวิตของผู้คนก็เปลี่ยนไปด้วย โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จากทีวี ธรรมดาที่แสดงผลอย่างเดียว เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นก็ไม่ได้ แทบจะไม่ค่อยมีลูกเล่นอะไรเลย ก็ถูกพัฒนาจนกลายเป็น สมาร์ททีวี ซึ่งเป็นการผสมระหว่างทีวีกับคอมพิวเตอร์ สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันและเนื้อหาสาระบันเทิงต่าง ๆ เพิ่มเติมมาใช้งาน เช่นเดียวกับที่สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ซึ่งเทคโนโลยีของสมาร์ททีวีช่วยให้คุณจัดสรรเวลาในการรับชมรายการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ หรือเลือกสรรเวลาในการรับชมรายการนั้น ๆ ได้เอง เพียงแค่ใช้ฟังก์ชั่นการบันทึกรายการของสมาร์ททีวี เพียงเท่านี้ก็จะไม่ทำให้คุณพลาดทุกรายการโปรดของคุณไปได้เลย แถมไม่ต้องมานั่งเสียเวลาดูในสิ่งที่คุณไม่อยากดูอีกด้วย เพราะคุณสามารถควบคุมทุกอย่างได้หมด เมื่อมีตัวเลือกมากขึ้นความสนุกในการดูก็มากขึ้นเช่นกัน เรียกได้ว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ก็ยังมีคุณสมบัติเจ๋ง ๆ อย่างอื่นอีกเพียบที่น่าสนใจและเป็นผลดีต่อผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ว่าแต่จะมีอะไรบ้างนั้นเรามาดูกันเลยค่ะ

                คุณสมบัติที่น่าสนใจของสมาร์ททีวี

1.เทคโนโลยีจอภาพของสมาร์ททีวี มีให้เลือกกันหลากหลาย โดยที่นิยมมากที่สุดในตลาดขณะนี้คือ LED ที่ถูกพัฒนาต่อจากเทคโนโลยีแบบเดิมคือ LCD ทำให้คุณสมบัติที่ดีขึ้น เช่น ทำให้มีคุณสมบัติกินไฟน้อยลง แสดงสีสันได้ชัดเจนและสว่างขึ้น แสดงสีดำสนิทมากขึ้น และตอบสนองเร็วขึ้น นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยี Plasma และ OLE อีก แต่ยังมีราคาแพงกว่า จึงยังไม่ได้รับความนิยมแพร่หลายเท่าเทคโนโลยี LED
2.ความละเอียดภาพหรือ Resolution มีให้หลายระดับ ยิ่งคมชัดราคาก็จะยิ่งสูงตาม สามารถแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ ๆ คือ High Defination (HD) มีความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล, Full High Defination (Full HD) มีความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล และ Ultra High Defination (UHD หรือ 4K) มีความละเอียด 3840 x 2160 พิเซล
3.หลังจากที่ประเทศไทยเปลี่ยนระบบแพร่ภาพโทรทัศพ์จากระบบอนาล็อกไปเป็นระบบดิจิตอล DVB-T2 ทำให้ช่องทีวีเพิ่มขึ้นหลายเท่า ภาพและเสียงคมชัดขึ้นทั้งในแบบ Standard Defination (SD) และ High Defination (HD) ทำให้ทีวีดิจิตอลและรวมถึงสมาร์ททีวี ที่ขายในท้องตลาดที่ผลิตออกมาล็อตใหม่ ๆ มีระบบรองรับแพร่ภาพดิจิตอลแบบ DVB-T2 มาในตัวเลย โดยไม่ต้องใช้กล่อง Set-top Box อีกต่อไป
4.หน้าจอของสมาร์ททีวีในท้องตลาดมีให้เลือกหลากหลายขนาด ตั้งแต่ 32, 43, 48, 55, 65, 70, 78, 80, 85 นิ้ว ไปจนถึงหน้าจอใหญ่มากถึงขนาด 105 นิ้ว เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามในการเลือกซื้อนั้น ต้องคำนึงถึงขนาดพื้นที่หรือห้องที่เราจะนำทีวีไปวางด้วย หากระยะจากหน้าจอถึงคนดูใกล้กันเกินไปอาจทำให้สีสันและความคมชัดผิดเพี้ยนไปได้
5.สิ่งที่ทำให้ควบคุมและทำให้ผู้ใช้งานสามารถสั่งงานสมาร์ททีวีได้ คือ ระบบปฏิบัติการ (OS) ซึ่งถือเป็นหัวใจหรือมันสมองเลยก็ว่าได้ ผู้ผลิตแต่ละแบรนด์ได้เลือกใช้ระบบปฏิบัติการแตกต่างกัน เช่น แบรนด์ Samsung เลือกใช้ระบบปฏิบัติการ Tizen, แบรนด์ LG เลือกใช้ระบบปฏิบัติการ webOS,แบรนด์ TCL เลือกใช้ระบบปฏิบัติการ Roku OS, แบรนด์ Panasonic เลือกใช้ระบบปฏิบัติการ Firfox OS เป็นต้น นอกจากนั้นยังมียักษ์ใหม่อย่าง Google ได้ทำระบบปฏิบัติการสำหรับทีวีขึ้นด้วย เรียกว่า Android TV ซึ่งแบรนด์ที่นำไปใช้ก็คือ Sony


   หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการดูอย่างไร้ขีดจำกัด ก็ไม่ต้องลังเลเลยค่ะ รีบจัด สมาร์ททีวี มาสักเครื่องเลยดีกว่า ขอบอกว่าเดี๋ยวนี้ราคาของสมาร์ททีวีก็ไม่แพงมาก แถมมีหลายแบบให้เลือกซื้อเลือกใช้ตามกำลังทรัพย์อีกด้วย แหละที่สำคัญรูปทรงดีไซน์ของสมาร์ททีวีก็ดูมีความล้ำสมัยสามารถช่วยให้ห้องธรรมดา ๆ ของคุณดูดีขึ้นมาเลยทีเดียว

#สมาร์ททีวี 

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

การเลือกประเภทหูฟังไร้สายให้เหมาะสมกับการใช้งานในด้านต่าง ๆ


เบื่อไหมคะ กับการใช้หูฟังที่มีสายที่ต้องคอยมานั่งแกะสายที่พันกันก่อนจะได้ฟังเพลงและไหนที่จะต้องม้วนเก็บตอนไม่ใช้งานมันคงจะเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิกน่าดู มันคงจะดีกว่าไหมที่จะลองเปลี่ยนจากการใช้หูฟังมีสายมาเป็นหูฟังไร้สายเพราะนอกจากจะไม่ต้องมานั่งแกะสายที่พันกันแล้ว เวลาเดินก็สบายกว่ากันเยอะเพราะไม่ต้องมาคอยกังวลว่ามือจะไปเกี่ยวสายหูฟังหรือเปล่า ทำให้เดินเหินสบาย หรือเวลาที่ต้องเดินไปหยิบของที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ไปด้วยทำให้การฟังเพลงไม่สะดุด เพราะด้วยประโยชน์ที่มากมายแบบนี้จึงทำให้หูฟังไร้สายกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีหูฟังไร้สายหลากหลายรูปแบบให้ผู้ใช้เลือกได้ตรงกับการใช้งานมากที่สุด โดยหูฟังแต่ละประเภทนั้นสามารถแบ่งออกเป็นการใช้งานหลักใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
ประเภทหูฟังไร้สายที่เหมาะสมกับการใช้งานในด้านต่าง ๆ
1.หูฟังแบบโมโน
หูฟังแบบโมโนต่างจากหูฟังแบบทั่วไปและเฮดโฟนตรงที่มีแค่ 1 ข้างเท่านั้น ขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวก มีปุ่มกดรับสายและโทรออกในตัวจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องคุยโทรศัพท์เป็นประจำเช่น นักธุรกิจ ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการอรรถรสในการฟังเพลงหรือดูหนัง ข้อดีของหูฟังประเภทนี้คือ ผู้ใช้ยังคงได้ยินเสียงภายนอกขณะคุยโทรศัพท์จึงปลอดภัยเมื่อใช้ขณะเดินทาง
2.หูฟังสปอร์ต
หูฟังสปอร์ตมักถูกออกแบบมาให้มีคุณสมบัติกันน้ำ กันเหงื่อ น้ำหนักเบา หูฟังทั้ง 2 ข้างเชื่อมต่อกันเป็นเส้นเดียว บางรุ่นยังมาพร้อมกับฟังก์ชันในการทนต่ออุณหภูมิสูง-ต่ำติดลบได้อีกด้วย เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักวิ่งและผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม หูฟังประเภทนี้ก็มีราคาที่สูงขึ้นไปตามคุณภาพด้วยเช่นกัน
3.หูฟังครอบหู (เฮดโฟน)
Bluetooth เฮดโฟนมีจุดเด่นที่คุณภาพและความคมชัดของเสียงไม่แพ้เฮดโฟนแบบมีสาย ในอดีตอาจมีให้เลือกสรรกันไม่มาก แต่ปัจจุบันหลายแบรนด์ได้พัฒนาและออกแบบให้หูฟังประเภทนี้มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการอรรถรสในการฟัง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะให้คุณภาพเสียงดีเลิศแต่หูฟังประเภทนี้มักครอบใบหูเราจนมิดทำให้เราไม่สามารถได้ยินเสียงภายนอก เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องใช้หูฟังแบบครอบหูนี้เพื่อคุยโทรศัพท์หรือฟังเพลงขณะเดินทางจึงจำเป็นต้องระวังสิ่งแวดล้อมรอบข้างเป็นพิเศษ
4.หูฟังขนาดเล็ก (มินิหูฟัง)
หูฟังขนาดเล็กหรือมินิหูฟังถือเป็นประเภทหูฟังที่ผลิตออกมาหลังสุด แตกต่างจากหูฟังรุ่นก่อน ๆ เนื่องจากเป็นหูฟังไร้สายโดยสิ้นเชิง รูปร่างโดดเด่น เท่ มีสไตล์ เหมาะกับการใช้สนทนาขณะขับขี่ยานพาหนะ อย่างไรก็ตาม มินิหูฟังยังคงด้อยกว่าหูฟังประเภทอื่นในเรื่องแบตเตอรี่ ดังนั้นผู้ใช้อาจต้องพกเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ไว้ติดดัวด้วยตลอดเวลา

                หวังว่าทุกคนจะสามารถเลือกหูฟังไร้สายที่เหมาะสมกับการใช้งานของตัวเองเจอนะคะ  และก็อย่าลืมดูแลรักษาหูฟังให้ดี ๆ ด้วยล่ะ จะได้ใช้งานได้อย่างยาวนานนั้นเองค่ะ

#หูฟังไร้สาย 

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

4 คุณสมบัติของเคสโทรศัพท์ที่เราควรเลือกซื้อ



เคสโทรศัพท์ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้โทรศัพท์จะขาดไม่ได้เลยก็ว่าได้ เพราะด้วยคุณสมบัติหลาย ๆ อย่างที่ช่วยปกป้องโทรศัพท์ของคุณไม่ให้เกิดความเสียหายในการนำโทรศัพท์มาใช้ นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกเพียบที่ทำให้ขาดเคสโทรศัพท์ไม่ได้ ว่าแต่จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลยค่ะ
4 คุณสมบัติของเคสโทรศัพท์ที่เราควรเลือกซื้อ
1.เพิ่มความสวยงาม
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสวยงามของมือถือนั้นเกิดจากการใส่เคส เพราะโทรศัพท์มือถือบางรุ่นอาจจะไม่ได้มาพร้อมสีสันสวยงาม แต่ก็สามารถช่วยให้เกิดความสวยงามมากขึ้นได้จากการใส่เคสโทรศัพท์โดยในปัจจุบันเคสที่วางจำหน่ายนั้นก็มีการออกแบบเพื่อความสวยงามให้ตรงใจกับผู้ใช้มากขึ้น
2.ป้องกันการกระแทก
เคสมือถือนอกจากจะออกแบบมาให้มีความสวยงามแล้ว บางรุ่นก็ยังมีประสิทธิภาพช่วยป้องกันการกระแทกจากการร่วงหล่นได้เป็นอย่างดี และเพื่อให้คุณเสียเงินซื้อเคสโทรศัพท์ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ควรเลือกซื้อเคสที่ได้ทั้งความสวยงามและมีประสิทธิภาพช่วยกันการกระแทกได้ในชิ้นเดียวกัน โดยเคสที่ได้รับความนิยมในการใช้งานเพื่อกันกระแทกในปัจจุบัน ก็คือเคส UAG
3.สามารถใช้เป็นแบตสำรองยามฉุกเฉิน
เคสโทรศัพท์บางรุ่นนั้น ออกแบบมาให้เป็นแบตสำรองในตัวเองได้ด้วยเช่นกัน ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องพกพาวเวอร์แบงค์อีกเครื่องให้เทอะทะหรือเกะกะ เพราะเพียงแค่มีเคสโทรศัพท์ ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ทุกที่ทุกเวลาแล้ว ไม่ว่าจะเล่นเกมนานหรือเล่นโซเชียล ดูหนัง ฟังเพลงบ่อยแค่ไหน ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
4.ปกป้องรอยขีดข่วนบริเวณรอบตัวเครื่องได้ดี
นอกจากจะกันกระแทกแล้ว คุณสมบัติโดดเด่นของเคสมือถืออีกประการก็คือ การช่วยป้องกันมือถือของคุณจากรอยขีดข่วนบริเวณรอบ ๆ ตัวเครื่องนั่นเอง ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถใช้มือถือเครื่องโปรดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เพราะเคสมือถือได้ทำหน้าที่ปกป้องทะนุถนอมรอบด้านให้กับมือถือของคุณแล้วนั่นเอง
                และถ้าจะให้ได้คุณภาพดียิ่งขึ้นไปอีกควรเลือกเคสโทรศัพท์ที่มีราคาแพง เพราะการที่เคสราคาแพงสามารถการันตีถึงวัสดุที่ใช้ได้ว่าเป็นวัสดุที่ดีมีคุณภาพในระดับหนึ่ง หากใครที่ใช้โทรศัพท์ที่มีราคาแพงอย่าไปเสี่ยงกับการใช้เคสราคาถูก ๆ เลยค่ะ เพราะถ้าหากเกิดความเสียหายขึ้นมามันจะไม่คุ้มกันนะคะ


#เคสโทรศัพท์

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

สเปคสมาร์ทโฟนจอใหญ่พับได้ของ Samsung รุ่น Galaxy Fold ที่ไม่ควรพลาด



                  ต้องบอกเลยว่าทุกวันนี้โทรศัพท์มีการพัฒนาขึ้นไปจากเดิมเยอะมากจริง ๆ แต่ก่อนโทรศัพท์นั้นเป็นระบบกดปุ่มใช้งานได้แค่โทรเข้า โทรออก ส่งข้อความ ได้เท่านี้ แต่พอพัฒนามาถึงยุคของสมาร์ทโฟนทุกสิ่งทุกอย่างของการใช้งานก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะสมาร์ทโฟนนั้นมีการใช้งานที่หลากหลายนอกเหนือจากการโทรเข้า โทรออก เยอะมาก เริ่มมีแอพพลิเคชั่นให้ใช้งานมากมาย สามารถรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน 3G, Wi-Fi และสามารถใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คและแอพพลิเคชั่นสนทนาชั้นนำ เช่น LINE, YouTube, Facebook, Twitter โดยที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งลูกเล่นการใช้งานสมาร์ทโฟนให้ตรงกับความต้องการได้เป็นอย่างดี และดูเหมือนว่าสมาร์ทโฟนจะถูกพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ เพราะล่าสุดได้มีค่ายผลิตมือถือยักษ์ใหญ่ได้ผลิตสมาร์ทโฟนจอใหญ่ที่หน้าจอสามารถพับได้ออกมา โดยใช้ชื่อรุ่นว่า Galaxy Fold สามารถสร้างความสนใจจากผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนได้เป็นอย่างมาก ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของการใช้สมาร์ทโฟน แถมยังมีคุณสมบัติเด่นด้านอื่น ๆ อีกเพียบพร้อมแล้วก็ตามมาดูกันเลยค่ะ

                 สเปคสมาร์ทโฟนจอใหญ่พับได้ของ Samsung รุ่น Galaxy Fold ที่ไม่ควรพลาด

·         หน้าจอหลัก            Dynamic AMOLED ขนาด 7.3 นิ้ว ความละเอียด QXGA+
·         หน้าจอปก              Super AMOLED ขนาด 4.6 นิ้ว ความละเอียด HD+
·         หน่วยประมวลผล
·         สถาปัตยกรรม 7 นาโนเมตร ไม่ระบุรุ่น
·         แรม         12 GB
·         ความจุ
·         512 GB
·         กล้องปก 10 MP f/2.2
กล้องหลัง
– 16 MP Ultra Wide Camera, f/2.2
– 12 MP Wide-angle Camera, Dual Pixel AF, OIS, f/1.5-2.4
– 12 MP Telephoto Camera, PDAF, OIS, f/2.4, 2X optical zoom
กล้องหน้า              
– 10 MP f/2.2
– 8 MP RGB Depth Camera, f/1.9
·         แบตเตอรี่ 4380 mAh, QC 2.0, AFC และชาร์จไร้สาย


จัดว่าเป็นสมาร์ทโฟนจอใหญ่อีกหนึ่งเครื่องที่มีสเปค เร็ว แรง เหมาะกับการใช้งานทุกรูปแบบจริง ๆ และด้วย หน้าจอแบบพับได้นี้ผู้ใช้สามารถใช้เป็นมือถือปกติด้วยหน้าจอด้านหน้าได้ หรือเมื่อต้องการพื้นที่เพิ่มก็กางเครื่องออกมาทำให้ได้หน้าจอใช้งานที่ใหญ่ขึ้น แถมหน้าจอบางลงกว่าหน้าจอบนสมาร์ทโฟนทั่วไปถึงครึ่งหนึ่ง มีกลไกการพับต่าง ๆ ถูกซ่อนไว้ในข้อพับของเครื่องมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้านข้าง ส่วนแบตเตอรี่นั้นถูกแบ่งไว้ทั้งสองฝั่งของเครื่อง เพื่อให้มีน้ำหนักสมดุลกัน เมื่อกางหน้าจอออกมาก็จะมีพื้นที่ให้เปิดแอปได้มากสุดถึง 3 แอป พร้อม ๆ กัน แอปที่เปิดอยู่จะปรับการแสดงผลให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติเมื่อพับหรือกางหน้าจอออกมา จัดว่าดีเลิศ สำหรับใครที่ต้องทำงานหลาย ๆ อย่างไปพร้อม ๆ กันกันควรมีติดไว้สักเครื่อง รับรองว่าจะช่วยให้การทำงานของคุณนั้นลื่นไหลอย่างแน่นอน

#สมาร์ทโฟนจอใหญ่ 

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนซื้อหน้าจอ monitor



ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้ในการทำงานนั้นเราใช้คอมพิวเตอร์กันซะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นประสิทธิภาพของตัวเครื่องและหน้าจอแสดงผลจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะมีผลต่อการทำงาน โดยเฉพาะหน้าจอ monitorหรือหน้าจอแสดงผล เพราะถ้าหน้าจอไม่โอเค สีเพี้ยน แสดงภาพออกมาได้ไม่ชัดเจน มองเห็นตัวหนังสือไม่ชัดเจน ก็อาจจะส่งผลเสียให้กับงานที่กำลังทำอยู่ก็ได้ ดังนั้นหน้าจอจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรลงทุนซื้อของดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ใช้งานยิ่งขึ้น ซึ่งหน้าจอ monitor สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1.LCD (Liquid Crystal Display) ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากจอ CRT (ตอนนี้ไม่ใช้แล้ว) ข้อดีของหน้าจอ LCD คือ ประหยัดพลังงานมากกว่าหน้าจอแบบเดิม แต่มีข้อเสียตรงที่ไม่สามารถมองจอภาพได้จากทุกทิศทาง มุมมองการมองเห็นภาพนั้นจะค่อนข้างแคบ 2. LED (Light Emitting Diode)  เรียกอีกชื่อว่า OLED (Organic Light Emitting Devices) คือการนำหลอด LED มาเรียงต่อกันเป็นแถว ช่วยให้สามารถแสดงสี และภาพได้คมชัดมาก มีอัตราการตอบสนองของภาพเร็วกว่าแบบอื่น ช่วยประหยัดพลังงาน มีมุมมองกว้าง ไม่มีข้อจำกัดแบบหน้าจอ LED ดังนั้นก่อนทำการเลือกซื้อหน้าจอ monitor ควรคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ค่ะ
                สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนซื้อหน้าจอ monitor
1.ขนาดหน้าจอ และความละเอียดภาพ
คนที่กำลังมองหาจอมอนิเตอร์มาใช้ ส่วนมากจะเลือกขนาดจอใหญ่เป็นอันดับแรก ทำให้ตอบสนองการทำงาน ดูหนัง หรือเล่นเกมที่ได้อรรถรสยิ่งขึ้น หากใช้งานครบเครื่องขนาดนี้ แนะนำว่าให้ซื้อขนาด 20 นิ้วขึ้นไปกำลังดีค่ะ สำหรับขนาดที่ได้รับความนิยมจะอยู่ที่ประมาณ 19-24 นิ้ว แล้วแต่ความชอบส่วนตัว และความเหมาะสมในการใช้งาน ส่วนความละเอียดของภาพสมัยนี้ก็ต้องเลือกแบบ 1920×1080 หรือ Full HD เพื่อรับชมภาพที่คมชัด และสวยงามได้อย่างเต็มตาค่ะ
2.ค่า Response Time และ Refresh Rate
ในส่วนของค่า Response Time หมายถึง ค่าความเร็วในการเปลี่ยนเม็ดพิกเซล ดังนั้นค่าความเร็วตรงนี้จึงส่งผลไปกับ “ภาพเคลื่อนไหว” ถ้าค่า Response Time ต่ำ ๆ ก็จะยิ่งทำให้เห็นภาพเคลื่อนไหวของวัตถุที่มีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เช่น ลูกฟุตบอล รถแข่ง ฉากต่อสู้ นั้นมีความไหลลื่นแถมภาพยังมีความคมชัด ปัจจุบันค่า Response Time ของ TV รุ่นใหม่ ๆ นั้นมีการปรับปรุงให้ไวมากยิ่งขึ้น จากเมื่อก่อนประมาณ 16-12 ms มาถึงตอนนี้ก็ประมาณ 5-2 ms
Refresh Rate หรือเรียกกันว่า อัตราการกะพริบของหน้าจอ ถ้าค่านี้ยิ่งสูงก็ถือว่ายิ่งดีค่ะ ช่วยทำให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ภาพจะนิ่ง โดยปกติถ้าใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน ทำเอกสาร  พิมพ์งานทั่ว ๆ ไป ค่า Refresh Rate จะอยู่ที่ประมาณ 60 Hz คือ เรทปกติค่ะ
แต่สำหรับเหล่าเกมเมอร์ โดยเฉพาะคนที่เล่นเกมแนว FPS (First Person Shooter) ต้องเน้นเรื่องความคมชัด และภาพหน้าจอที่มีความนิ่งสูง ก็ต้องเลือกหน้าจอมอนิเตอร์ที่มีค่า Refresh Rate สูงขึ้นไปอีก ซึ่งหน้าจอรุ่นท็อปบางรุ่นสามารถปรับค่านี้ได้สูงถึง 144 Hz กันเลยทีเดียว แต่ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน หรือถ้าใครมีงบเหลือเฟือก็จัดมาไว้ในครอบครองกันตามสะดวกเลยค่ะ
3.ลักษณะ Panel ของจอ
ปัจจุบันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตัวนี้จะมี Panel ที่ใช้หลักๆ อยู่ 3 แบบด้วยกัน คือ IPS, VA และ TN แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ Panel แบบ IPS ค่ะ เนื่องจาก Panel นี้มีข้อดีคือ ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา (Viewing Angle 178°/178°‎‎ ทั้งในมุมแนวนอนและแนวตั้ง) ไม่ว่าจะมองหน้าจอจากมุมไหนก็จะได้ภาพที่ชัดเจน สีสดสวย สบายตา อัตราส่วนภาพไม่ผิด สีไม่เพี้ยน จึงกลายเป็นที่นิยมในตลาดอย่างมาก
สำหรับ Panel แบบ VA (Vertical Alignment) จุดเด่นที่ดีที่สุด คือ ให้สีดำที่ดำสนิทมากกว่าแบบอื่น แต่จะมีข้อเสียในเรื่องของมุมมอง จะไม่กว้างเท่าแบบ IPS เช่น ในฉากที่มีความมืด ถ้าไม่ได้นั่งอยู่ตรงกลางจอ ก็จะไม่สามารถเห็นรายละเอียดในหน้าจอได้ชัดเจนนัก
แบบสุดท้าย คือ TN (Twisted Nematic) ข้อดีคือ ราคาถูก และมีค่า Response Time ต่ำ จึงเป็นที่นิยมในหมู่คนที่ชอบของราคาไม่แพงมากนัก ซึ่งใช้ได้ดีพอควร ภาพไม่กระตุก แต่ Panel แบบนี้จะมีมุมมองการชมแคบ อัตราการผิดเพี้ยนของสีสูงด้วยค่ะ
4.พอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ (Connectivity Interface)
จอมอนิเตอร์ส่วนใหญ่จะมาพร้อมพอร์ต VGA และ DVI ซึ่งแบบหลังจะเป็นการเชื่อมต่อแบบ Digital จึงทำให้ได้ภาพที่สวย และคุณภาพดีกว่า สำหรับพอร์ต VGA นั้นจะเป็นพอร์ตแบบเก่า ใช้กันมากในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโน้ตบุ๊ก อย่างไรก็ดี เวลาเลือกหน้าจอมอนิเตอร์ ควรเลือกรุ่นที่มีพอร์ตทั้ง 2 แบบนี้อยู่ในเครื่องด้วยนะคะ เพื่อความสะดวกในการเชื่อมต่ออย่างครบครันนั่นเอง
5.ฟีเจอร์ และฟังก์ชั่นพิเศษอื่น ๆ
สำหรับฟังก์ชั่นพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น Touch Screen, Webcam หรือ 3D เป็นต้น ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณ ถ้าคิดว่าไม่ได้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกหน้าจอมอนิเตอร์ที่มีฟังก์ชั่นเหล่านี้เพิ่มเติม เพราะต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย ซึ่งคุณอาจจะใช้งานได้ไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปค่ะ

                จอ monitor เป็นตัวแสดงผลที่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมและความบันเทิงด้านอื่น ๆ นอกจากนี้มันยังมีความสำคัญสำหรับคนทำงานด้านกราฟิกอย่างมาก เพราะฉะนั้นก่อนเลือกซื้ออย่าลืมดูก่อนว่าจอคอมพิวเตอร์ ยี่ห้อไหนดีที่เหมาะกับการใช้งานของเรา และเลือกหน้าจอคอมที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับเรากันด้วยนะคะ

#จอ monitor