วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ประโยชน์ของนาฬิกา smartwatch ที่ทำให้คนรักสุขภาพต้อง love



                นาฬิกา smartwatch ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์เทคโนโลยีที่จะมาช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ เพราะมันจะคอยทำหน้าที่ตรวจสอบระบบการทำงานในร่างกายของคุณในแต่ละวันว่าคุณได้ทำอะไรไปบ้าง แล้วแสดงผลออกมาให้คุณได้รับรู้ แถมยังมีฟังก์ชั่นเกี่ยวกับการออกกำลังกาย การนำทาง หรือแม้กระทั่งการติดต่อสื่อสารต่าง ๆ ที่ช่วยให้คุณรู้ถึงปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นและสามารถแก้ไขให้ถูกต้องทำให้ช่วยส่งผลดีต่อร่างกาย นอกจากนี้ก็ยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกมากมายที่จะช่วยให้การใช้ชีวิตของคุณสะดวก สบาย ยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่รักสุขภาพอยู่แล้วควรมีเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งประโยชน์ด้านบนที่เรากล่าวมานั้นยังไม่จบ เพราะเจ้านาฬิกา smartwatch ยังมีประโยชน์อีกหลายด้านมาก ๆ ที่เราอยากจะนำเสนอว่าแต่จะมีประโยชน์ด้านใดอีกบ้างนั้นตามมาดูกันเลยค่ะ

                  ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ของนาฬิกา smartwatch
1.    มันสามารถเป็น Navigator ให้กับเราได้ ทั้งตอนขณะขับรถ หรือแม้กระทั่งการเดิน
2.    สามารถเชื่อมต่อกับมือถือของคุณได้ แม้ว่าจะอยู่ในรัศมีที่ไกลออกไป
3.    ใช้เสียงในการทำการค้นหาต่าง ๆ ได้
4.    สามารถเตือนเราเรื่องสภาพอากาศ ข่าวสาร หรืออื่น ๆ
5.    เชื่อมต่อแอพลิเคชั่นที่สามารถอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือแม้กระทั่งซื้อของ
6.    ตอบข้อความหรืออีเมล์ได้
7.    มีความสวยงาม ทันสมัย
8.    ช่วยให้เรารู้ถึงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวัน เช่น เก็บสถิติไว้ให้ ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ ปริมาณแคลอรี่ที่เผาผลาญ จำนวนก้าวในการเดิน ช่วงเวลาที่มีกิจกรรมสูงสุด-ต่ำสุดในแต่ละวัน เป็นต้น


 นาฬิกา smartwatch จัดว่าเป็นตัวช่วยที่ดีมากให้กับคนรักการออกกำลังกายเลยก็ว่าได้ เพราะสามารถที่จะเก็บสถิติและข้อมูลต่าง ๆ เอามาเปรียบเทียบและวางแผนในการออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดูดีให้กับผู้ที่ส่วมใส่ได้อีกด้วย


#นาฬิกาsmartwatch 

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2562

5 อันดับหน้าจอมอนิเตอร์ ราคาถูก คุณภาพโดน ๆ ที่ควรมี


                 สำหรับใครที่กำลังมองหาจอมอนิเตอร์ ราคาไม่แรง คุณภาพสูงสักตัวมาใช้งาน โดยเน้นไปที่ภาพคมชัด สีสันสดใส ดูลื่นไหลไม่มีสะดุด จะต้องพิจารณาเลือกจากอะไรบ้าง หรือเลือกยี่ห้อไหนดีที่จะช่วยให้คุ้มค่ากับเงินที่จะเสียไปมากที่สุด ซึ่งวันนี้เราได้คัดเลือกหน้าจอมอนิเตอร์ ราคาถูก คุณภาพดี เอามาฝากให้กับทุก ๆ คน เอาไว้เป็นแนวทางและใช้พิจารณาในการเลือกซื้อด้วย ว่าแต่จะมีรุ่นไหนบางนั้นมาดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

                5 อันดับหน้าจอมอนิเตอร์ ราคาถูก คุณภาพโดน ๆ ที่ต้องมี

1.Philips 193V5LSB2/97
หากถามถึงจอคอมพิวเตอร์ ยี่ห้อไหนดีล่ะก็ แบรนด์ Phillips ต้องเป็นหนึ่งในรายชื่อติดอันดับด้วยแน่นอน รวมถึง Philips 193V5LSB2/97 รุ่นนี้ด้วย เพราะเปิดตัวมาพร้อมเทคโนโลยีในการผลิตหน้าจอมอนิเตอร์ให้แสดงภาพได้อย่างรวดเร็ว
จุดเด่น :
·         รองรับ Standby mode – White (flashing)
·         ระบบ Power LED indicator : Operation – White
·         รองรับการเชื่อมต่อ VGA Port 1 Port
ราคาประมาณ : 1,890 บาท
2. AOC I2381FH/67
จอมอนิเตอร์หนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของคนที่มองหา ใครที่เกิดคำถามเมื่อตอนต้นว่า จอคอมพิวเตอร์ ยี่ห้อไหนดี ที่มีความคุ้มค่า แข็งแรงทนทานและคุณภาพดี AOC I2381FH/67 คืออีกคำตอบ เพราะมันมาพร้อมความอึด ถึก ทน ให้ภาพออกมาสวยงามพร้อมมุมกว้าง
จุดเด่น :
·         รองรับ Power saving facility ช่วยให้ประหยัดไฟมากขึ้น
·         ระบบสี True-to-life color สวยงามสมจริง
·         ผลิตจากวัสดุโลหะโครงเบา ดีไซน์เรียบหรู
ราคาประมาณ : 4,050 บาท
3. SAMSUNG LS24F350FHEXXT
แบรนด์ราคากลาง ๆ คุณภาพเยี่ยม สำหรับจอคอมพิวเตอร์ ยี่ห้อไหนดีที่อยากแนะนำ คือจอคอมจาก SAMSUNG หน้าจอคอมรุ่นนี้ออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานอเนกประสงค์ รวมถึงการใช้งานเพื่อความบันเทิง ให้สีสันคมชัดสะดุดตา สวยสมจริง พร้อมเทคโนโลยี Flicker Free ของ Samsung ช่วยลดการกะพริบของหน้าจอ ช่วยให้ใช้งานได้นานโดยไม่รู้สึกปวดล้าสายตา
จุดเด่น :
·         ราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับฟังก์ชั่น
·         รองรับ  AMD FreeSync ให้การรีเฟรชหน้าจอเนียนขึ้น
·         รองรับ Eye Saver Mode ช่วยกรองแสงสีฟ้าและถนอมสายตา
·         ระบบ eco-saving technology ประหยัดพลังงานมากขึ้น
ราคาประมาณ : 3,490 บาท
4. Dell E2417H
ถ้ามีทุนเยอะขึ้นมาหน่อยจะเลือกจอคอมพิวเตอร์ ยี่ห้อไหนดี แบรนด์ Dell คือคำตอบที่ขาดไปไม่ได้ของคนในวงการ เพราะการันตีด้วยความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ สำหรับ Dell E2417H เป็นหน้าจอที่มาพร้อมความคมชัดระดับ FULL HD ควบคุมการเปิด-ปิดกล้องบนหน้าจอมอนิเตอร์ด้วยปุ่มการสั่งงานเพียงปุ่มเดียว
อีกทั้งยังสามารถปรับเอนด้านหน้าได้ถึง 5 องศาและด้านหลังเอนได้ถึง 21 องศา สามารถใช้งานร่วมกับ PC รุ่นเก่า ๆ ได้ผ่านการเชื่อมต่อจากสาย VGA และ DisplayPort
จุดเด่น :
·         ระบบ Security lock slot (cable lock sold separately) และ anti-theft protection ป้องกันการถูกขโมย
·         ระบบ RoHS, TCO Displays
·         หน้าจอระบบ LED-backlit LCD monitor
·         การเชื่อมต่อ DisplayPort และ VGA
·         เคลือบกระจกหน้าจอด้วย Anti-glare และ 3H Hard Coating
ราคาประมาณ : 5,200 บาท
5. ACER PREDATOR XB252Q 240HZ G-SYNC
หนึ่งในหน้าจอเกมเมอร์ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน กับ เมื่อพูดถึง ACER PREDATOR XB252Q 240HZ G-SYNC จากแบรนด์ Acer แล้ว ออกแบบมาให้มีความเร็วสูงเป็นองค์ประกอบสำคัญ รองรับ NVIDIA® G-SYNC ทำให้คุณสามารถเชื่อมต่อหลายหน้าจอได้พร้อมกัน พร้อมมุมมองสำหรับเกมเมอร์โดยเฉพาะอย่าง Predator GameView เพื่อการเล่นเกมและความบันเทิงแบบเหนือระดับ
จุดเด่น :
·         จอ LED ขนาดใหญ่ 24.5 นิ้ว
·         ความละเอียดระดับ Full HD (1920 x 1080)
·         เชื่อมต่อความคมชัดทั้งจากโทรทัศน์และโน้ตบุ๊คด้วยสาย HDMI
·         อัตรารีเฟรสเร็วจัด เพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพให้การเล่นเกม
ราคาประมาณ : 21,900 บาท


 แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกหน้าจอมอนิเตอร์ราคาใด ยี่ห้อไหน แต่สิ่งสำคัญก่อนที่จะทำการตัดสินใจซื้ออย่าลืมดูก่อนว่าคุณมีจุดประสงค์ที่จะใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบไหน อย่างไร และยี่ห้อไหนที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างคุ้มค่าและเหมาะสมที่สุดด้วยนะคะ

#จอมอนิเตอร์ ราคา 

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ข้อเปรียบเทียบ tablet ที่ควรรู้ก่อนซื้อ



                    เพราะในยุคปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลงและถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร อย่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น smartphone tablet และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ทำให้มีหลาย ๆ บริษัทต่างก็ทำการผลิตออกมากันอย่างมากมาย ทำให้ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะเลือกได้เยอะมากยิ่งขึ้นจนเกิดการเปรียบเทียบต่าง ๆ นา ๆ ในแต่ละรุ่น เช่น เมื่อจะซื้อ tablet ก็หาข้อมูลแล้วนำมาเปรียบเทียบ tablet ยี่ห้อต่าง ๆ ว่ารุ่นไหนแบรนด์ไหนบ้างที่มีคุณภาพสูงและเหมาะสมสำหรับการใช้ทำงานของคุณ ซึ่งหลักในการเปรียบเทียบ tablet ก่อนที่จะซื้อนั้นก็จะมีดังนี้

                  ข้อเปรียบเทียบ tablet ที่ควรรู้ก่อนซื้อ

1.เลือกระบบปฏิบัติการ : iOS / Android / Windows
“ระบบปฏิบัติการ” มีส่วนสำคัญมาก สิ่งนี้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เชื่อมการทำงานระหว่างฮาร์ดแวร์ (ตัวเครื่อง) กับซอฟต์แวร์ (แอปพลิเคชั่น) ซึ่งในปัจจุบันระบบปฏิบัติการหลักๆ ที่มีให้เลือกกันในท้องตลาด ก็มีอยู่ 3 แบบด้วยกัน แต่ละแบบก็จะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไปคร่าวๆ ดังนี้
·         iOS
มีประสิทธิภาพและความเสถียรสูง
รองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ
รองรับแอปพลิเคชั่นมากมายบน App Store
ใช้งานได้แค่เฉพาะบนไอแพด หรือไอโฟน ของ Apple เท่านั้น
หลักๆ แล้วจะรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมเฉพาะของ Apple เท่านั้น
·         Android
ใช้งานง่าย
รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมที่หลากหลาย
รองรับแอปพลิเคชั่นมากมายบน Play  Store
สามารถปรับแต่ง UI ตามความชอบได้
มีแบรนด์ให้เลือกมากกว่าฝั่ง iOS เช่น Samsung, Sony, HTC, Huawei
·         Windows
ระบบปฏิบัติการของ Microsoft ที่มีมาอย่างยาวนาน
รองรับไฟล์ทุกรูปแบบ จึงเหมาะกับการใช้งานด้านเอกสาร
สามารถใช้งานได้หลากหลาย ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงระดับสูง
รองรับแอปพลิเคชั่นมากมายจาก Windows Store

2. เช็คสเปค CPU / GPU / Ram / Rom
นอกเหนือจากระบบปฏิบัติการแล้ว เครื่องจะอืดหรือลื่นหัวแตกก็วัดกันตรงนี้ล่ะค่ะ (แน่นอนว่าระดับของสเปคก็จะสัมพันธ์กับราคาด้วย) หลัก ๆ เลยที่เราต้องดูก็จะมี ดังนี้
1.       CPU หรือ หน่วยประมวลผลหลักของเครื่อง มีวิธีเลือกง่าย ๆ คือ
·         จำนวน Core ทำหน้าที่เหมือนกับแกนสมอง Core ยิ่งเยอะก็จะยิ่งดี เช่น 1 core/single core, 2 core/dual-core, 4 core/quad-core แน่นอนว่าจากตัวอย่างพวกนี้ quad-core แรงสุดค่ะ
·         ความเร็วประมวลผล หน่วยเป็น GHz ยิ่งมากก็แปลว่าเร็วมากค่ะ
·         สถาปัตยกรรม คือ Bandwidth ที่จะใช้ในการรับส่งข้อมูล ถ้าเป็น 64Bit การรับส่งข้อมูลก็จะดีกว่า 32bit ค่ะ
2.       GPU หรือ หน่วยประมวลกราฟฟิค ข้อนี้จะมีความสำคัญสำหรับคนที่ใช้แท็บเล็ตหรือมือถือสำหรับเล่นเกม หรือใช้ทำงานเกี่ยวกับภาพและกราฟฟิค เพราะแค่ CPU แรง Ram เยอะ อาจไม่พอ จึงควรดู GPU ที่เหมาะสมเพื่อการใช้งานที่ลื่นไหลด้วย
3.       Ram คือ หน่วยความจำหลัก ใช้ในการรันแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ซึ่งถ้าน้อยเกินไปคุณก็จะได้เจอกับอาการแอปค้างหรือเด้งได้ ยิ่งเยอะก็ยิ่งดีค่ะ แต่ก็ไม่ต้องเยอะเกินนะคะ เลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานของตัวเองก็พอ
4.       Rom คือ หน่วยความจำตัวเครื่อง หรือที่เราเรียกกับว่า “ความจุ” นั่นแหละ ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งถ้ามีเยอะเครื่องก็จะจุข้อมูลได้เยอะนั่นเอง

3. ขนาดหน้าจอ ความละเอียดในการแสดงผล
ข้อนี้คงไม่ต้องอธิบายกันยาว เพราะขึ้นอยู่กับประเภทการใช้งานและความพอใจส่วนตัวล้วน ๆ ขนาดจอโดยทั่วไปมีให้เลือกตั้งแต่ 7 – 12 นิ้ว ถ้าอยากได้แบบที่พกพาสะดวก เลือกจอใหญ่ 12 นิ้วก็คงจะไม่ตอบโจทย์นัก ก็เลือกให้เล็กลงมาหน่อยดีกว่า
ส่วนความละเอียดในการแสดงผล (Resolution) ก็เช่นกันค่ะ ถ้าจะใช้งานทั่ว ๆ ไป เช่น งานเอกสาร ก็อาจไม่ต้องการความละเอียดมาก (แต่อาจจะต้องการหน้าจอใหญ่ ๆ ) แต่ถ้าต้องใช้ทำงานกราฟฟิค ตัดต่อวีดีโอ หรืออยากดูหนังแบบฟิน ๆ ก็ควรเลือกที่เป็น Full HD ก็คือความละเอียดตั้งแต่ 1280 x 720 ขึ้นไปค่ะ

 4. น้ำหนักเครื่อง
อีกปัจจัยที่ห้ามลืมค่ะ ควรเลือกให้สอดคล้องกับการใช้งาน ถ้าต้องพกพาไปใช้ด้วยทุกวันแล้วเครื่องดันหนักมันก็คงไม่โอเค เว้นแต่ว่าคุณอยากใช้แท็บเล็ตออกกำลังแขนแทนดัมเบล อันนี้เราก็ไม่ว่ากัน

5. ความจุแบตเตอรี่ การชาร์จไฟ
ในข้อนี้จะเป็นตัวกำหนดความอึดของเครื่องเลยค่ะว่า จะใช้งานได้ยาวนานแค่ไหน นอกจากนี้ ก็อาจนำเรื่องของการรองรับระบบ Fast Charge รวมถึงระยะเวลาในการชาร์จ มาพิจารณาประกอบด้วยก็ได้ค่ะ

6. การเชื่อมต่อ การโทร
ในส่วนการเชื่อมต่อนั้น รุ่นที่รองรับทั้ง Wi-Fi และ LTE (3G, 4G) จะมีราคาแพงกว่า ในกรณีที่คุณต้องนำไปใช้งานนอกบ้านอยู่เป็นประจำเลือกแบบใส่ซิมรองรับ 3G 4G ก็เหมาะสม แต่ถ้าเน้นการใช้งานภายในบ้าน รองรับแค่ Wi-Fi อย่างเดียวก็น่าจะพอค่ะ
ส่วนการโทรก็เช่นกันค่ะ สำหรับคนที่ไม่ชอบพกเครื่องมือสื่อสารหลาย ๆ เครื่อง ถ้าอยากได้แบบเครื่องเดียวจบฟังก์ชั่นนี้ก็จะน่าสนใจ แต่ถ้าใครที่คิดว่าไม่จำเป็นก็ตัดออกไปได้เลยค่ะ จะได้ประหยัดงบตรงนี้ไป

7. ราคา การบริการหลังการขาย
จริง ๆ แล้ว “ราคา” อาจเป็นสิ่งหลายคนกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าจะให้งบกับมันเท่าไหร่ อยากให้ทุกคนนำปัจจัยทั้งหมดเอามาเปรียบเทียบกันด้วย โดยให้ราคาเป็นส่วนหนึ่งของการเปรียบเทียบแทน เพื่อหาความคุ้มค่าให้มากที่สุด อย่างบางรุ่นอาจจะเกินงบที่เราตั้งไปแค่หลักร้อย แต่สเปคแรงกว่าเยอะ ถ้าเราเลือกตัดช้อยส์นี้ไปแต่แรก เราก็อาจมาเสียดายภายหลังได้ค่ะ


                แหละทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อเปรียบเทียบ tablet ที่เราควรรู้ก่อนที่จะซื้อที่เราเอามาฝากกับทุก ๆ คนหวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการที่จะช่วยให้คุณมีแนวทางการเลือกซื้อ tablet ได้ง่ายและเหมาะสมกับการใช้งานของคุณนะคะ

#เปรียบเทียบ tablet

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ข้อสำคัญที่ควรต้องรู้ก่อนเลือกซื้อหน้าจอเล่นเกม



                  สำหรับใครที่เป็นสายเกมเมอร์จะรู้ดีถึงความสำคัญของหน้าจอเล่มเกมเป็นอย่างดี เพราะทั้งภาพ เสียง ต่าง ๆ ที่แสดงผลออกมาทางหน้าจอนั้นช่วยส่งเสริมให้สนุกเพิ่มขึ้นขนาดไหน ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่สายเกมเมอร์ทั้งหลายจะลงทุนไปกับการซื้อหน้าเพื่อให้ได้หน้าจอเล่มเกมที่ดีที่สุด และหากใครที่กำลังวางแผนที่จะซื้อหน้าจอเล่นเกมอยู่ล่ะก็ ควรที่ต้องรู้ข้อมูลดังต่อไปนี้ให้ละเอียดเพื่อผลรับที่ดีที่สุดที่จะได้จากการเลือกซื้อหน้าจอเล่นเกมซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้นเรามาดูกันเลยค่ะ

                ข้อสำคัญที่ควรต้องรู้ก่อนเลือกซื้อหน้าจอเล่นเกม
·         Resolution
สิ่งแรกที่สุดสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อจอสำหรับเล่นเกมก็คือความละเอียดของหน้าจอหรือ Resolution นั้นเอง ยิ่งความละเอียดยิ่งสูง จำนวน Pixel ในหน้าจอจะมากขึ้นตามไปด้วย และนั้นหมายถึงรายละเอียดและความคมชัดของภาพในหน้าจอ คุณภาพของกราฟฟิกในเกมจะดูดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความละเอียดของหน้าจอเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ยิ่งความละเอียดของภาพยิ่งสูง ก็ยิ่งเป็นการฉุดเฟรมเรทของเกมให้ลดลงตามไปด้วย ดังนั้นถ้าถ้าเล่นเกมและใช้จอที่มีความละเอียดขนาด 4K หรือสูงกว่านั้น และอยากได้เฟรมเรทที่สูงกว่า 60 เฟรม ก็ต้องมีเครื่อง PC ที่ทรงพลังในการรันด้วย ไม่อย่างงั้นต่อให้จอรับได้แต่เล่นไปกระตุกไปก็คงไม่ดีแน่นอน
·         Refresh rate
หนึ่งในหัวข้อที่มีการถกเถียงและเป็นประเด็นกันมากที่สุดในโลกออนไลน์ ว่าจอที่มี Refresh Rate ขึ้นไปแตะระดับ 144Hz นั้นจำเป็นสำหรับการเล่นเกมหรือไม่ ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงแล้วมันก็อยู่ที่เกมไหนจะรองรับการปรับค่าเฟรมเรทที่สูงกว่า 120 ขึ้นไปหรือไม่มากกว่า แต่ผลพลอยได้ที่มาจากค่า Refresh Rate ที่สูงขึ้นก็คือความลื่นไหลและสบายตาในการใช้งานแบบปกติมากขึ้น เกมเมอร์บางคนถึงกับเอ่ยปากเลยว่า ถ้าหากได้สัมผัสกับความลื่นไหลของจอแบบ 144Hz แล้วสักครั้งหนึ่ง จะกลับไปใช้จอแบบ 60Hz ไม่ได้กันเลย แต่ก็เป็นกรณีเดียวกันกับเรื่องของ Resolution ที่ถ้าหากเครื่อง PC ประสิทธิภาพไม่สูง และไม่สามารถทำเฟรมเรทไปถึง 120 เฟรมมันก็ดูจะไม่ได้รับผลประโยชน์ตรงจุดนี้เท่าไหร่นัก ถ้าหากคุณเป็นเกมเมอร์ที่เน้นเล่นเกมแบบ FPS และแอคชั่นที่ต้องใช้การรีดเฟรมเรทขั้นสูง ก็จะเหมาะกับการใช้งานจอแบบที่ Refresh Rate สูง ๆ หรือถ้าหากงบไม่เอื้ออำนวย ก็อาจจะเลือกจอที่ไม่ต้องมี Refresh Rate สูงมากเพื่อประหยัดเงินก็ได้ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่ซีเรียสกับความลื่น ก็อาจจะต้องยอมจ่ายกันหน่อย
·         Adaptive Sync
เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่หลาย ๆ คนคงงงว่า ถ้ามีหรือไม่มีแล้วมันจะใช้งานได้หรือเปล่า ? ซึ่งเจ้า Adaptive Sync ที่เราเห็นกันบ่อย ๆ ก็คือ FreeSync จาก AMD และ G-Sync จาก Nvidia ซึ่งตัว Sync ทั้งสองแบบจะช่วยให้การฉีกขาดของภาพเวลาเคลื่อนไหวเร็ว ๆ นั้นลดลงหรือหายไป ทำให้ภาพที่ได้นั้นดูสบายตาขึ้น สำหรับ FreeSync นั้นจะมีมาให้กับจอเล่นเกมเป็นส่วนใหญ่และไม่ต้องจ่ายค่าตัวเพิ่ม แต่สำหรับ G-Sync นั้นจะไปอยู่กับจอตัวท็อประดับแพง ๆ เสียมากกว่า โดยสำหรับจอที่มีฟังก์ชั่น G-Sync นั้นจะแพงกว่าถึง 3 – 4 พันบาทเลยทีเดียว แต่ถ้าใครไม่กังวลเรื่องเงินอยู่แล้วและใช้การ์ดจอ Nvidia ก็อาจจะยอมจ่ายเพื่อใช้งานฟังก์ชั้นนี้ก็ย่อมได้ ส่วนผู้ใช้ AMD ก็จะประหยัดเงินไปได้หน่อย เพราะจอเล่นเกมที่ FreeSync นั้นมีราคาไม่แพงและหาได้ง่าย
·         Panel แบบ TN และ IPS
ในปัจจุบันนี้จอมอนิเตอร์จะมี Panel อยู่สองแบบ คือ IPS และ TN เราลองมาทำความรู้จักกับจอทั้งสองประเภทนี้กันก่อน
 TN หรือ Twisted Nematic จะเป็นจอที่มีอัตราการตอบสนองหรือ Response Time ที่ดี แต่จะมีปัญหาในเรื่องของการแยกเม็ดสีที่จะไม่เที่ยงตรงมากนัก ซึ่งเหมาะกับการเล่นเกมและมีราคาที่ไม่แพง
IPS หรือ In-plane Switching จะมีจุดเด่นในเรื่องของความคมชัดและสวยงามกว่าแบบ TN และสีที่ได้จะเพี้ยนน้อยกว่าแบบ TN อยู่พอสมควร แต่ก็แลกมาด้วยความไวในการตอบสนองที่จะด้อยกว่านิดหน่อย
ถ้าหากคุณเป็นผู้เล่นที่ซีเรียสกับการตอบสนอง เล่นเกมแบบ Competitive ค่อนข้างบ่อย(เช่น FPS หรือเกมต่อสู้) การเลือกใช้จอแบบ TN ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่สำหรับคนที่เน้นสีสันและความเที่ยงตรงของสี รวมไปถึงอยากได้จอที่เอาไว้ใช้ทำงานกราฟฟิกด้วย ก็ควรเลือกใช้จอแบบ IPS จะดีกว่า
·         Response Time
ข้อนี้เป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับคนที่เล่นเกมแนวต่อสู้หรือ FPS เพราะถ้าหากจอมีการตอบสนองช้าหรือหน่วงไปแม้แต่นิดเดียวก็สามารถพลิกผลแพ้ชนะได้เลย แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบเสพย์บรรยากาศในการเล่นเกมมากกว่าจะมาซีเรียสเรื่องการตอบสนอง ก็อาจจะมองข้ามในส่วนนี้ไปได้บ้าง
และข้อนี้ก็จะเกี่ยวข้องกับการเลือก Panel ของจอในหัวข้อที่แล้ว ถ้าใครซีเรียสเรื่องเฟรมเรทก็เลือก TN แต่ถ้าใครเน้นภาพแบบสวยไว้ก่อนและเอาจอไว้ทำงานกราฟฟิก ก็อาจจะเลือกจอแบบ IPS แทนก็ได้
·         ขนาดของจอ
ทุกวันนี้เราสามารถเลือกซื้อจอสำหรับเล่นเกมที่ขนาด 21 – 27 นิ้วได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินมากเท่าสมัยก่อน ในยุคนี้การหาจอเพื่อเล่นเกมขนาด 25 นิ้วในราคาแค่ห้าพันกว่า ๆ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการเลือกขนาดของจอก็คือขนาดของโต๊ะคอม ระยะห่างระหว่างผู้ใช้งานและตำแหน่งของจอ อย่าลืมว่าจอยิ่งใหญ่ก็ต้องยิ่งนั่งให้ห่างกว่าเดิม ถ้าหากโต๊ะของเราเล็ก และขนาดห้องไม่ใหญ่มาก ก็ควรเลือกจอที่ขนาดพอดีกับระยะสายตาและตำแหน่งที่นั่งให้เหมาะสมด้วย
·         พอร์ทการเชื่อมต่อ
ในปัจจุบันจอสำหรับเล่นเกมมีพอร์ทการเชื่อมต่ออยู่หลายแบบ โดยหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้
Display Port 1.4 เป็นการเชื่อมต่อที่ดีที่สุด ให้ความคมชัดทั้งภาพและเสียงอย่างครบถ้วน แถมยังรองรับ Refresh Rate ได้สูงอีกด้วย
HDMI 1.4/2.0 การเชื่อมต่อแบบมาตรฐานของเครื่องคอนโซลและ PC ส่วนใหญ่ ให้ความคมชัดและเสียงอยู่ในระดับที่ดี แต่จะไม่รองรับ Refresh Rate ในระดับสูง ๆ เหมือนกับ Display Port
ซึ่งถ้าอยากจะให้จอใช้งานในโหมด 144Hz ก็ต้องใช้การเชื่อมต่อแบบ Display Port และขอให้สังเกตดูตรงหัวสำหรับเชื่อมต่อให้ดีด้วย เพราะ Display Port และ HDMI Port นั้นมีลักษณะคล้ายกันมาก ดูให้ดีก่อนเสียบและเลือกใช้งานให้เหมาะสม      *อย่าลืมดูด้วยว่า การ์ดจอของเครื่อง PC มี Display Port ให้เสียบใช้งานด้วยรึเปล่า ไม่อย่างงั้นเสียบไม่เข้าต้องลำบากหาหัวแปลงมาใช้งานวุ่นวายไปอีก*

                แหละทั้งหมดนี่ก็เป็นสิ่งคร่าว ๆ ที่เราควรที่จะต้องรู้และเข้าใจก่อนที่จะทำการตัดสินใจซื้อหน้าจอเล่นเกมเพื่อให้ได้หน้าจอในแบบที่ตัวผู้ใช้งานต้องการมากที่สุดและก็อย่าลืมตรวจดูงบประมาณที่จะซื้อด้วยนะคะ ว่าเพียงพอกับสิ่งของที่เราอยากได้หรือเปล่าเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเดือดร้อนเงินในอนาคตที่นำมาใช้ในการซื้อค่ะ

#จอเล่นเกม