เพราะในยุคปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลงและถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร อย่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น smartphone
tablet และอื่น ๆ
อีกมากมาย ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ทำให้มีหลาย ๆ บริษัทต่างก็ทำการผลิตออกมากันอย่างมากมาย
ทำให้ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะเลือกได้เยอะมากยิ่งขึ้นจนเกิดการเปรียบเทียบต่าง ๆ นา
ๆ ในแต่ละรุ่น เช่น เมื่อจะซื้อ tablet ก็หาข้อมูลแล้วนำมาเปรียบเทียบ
tablet ยี่ห้อต่าง ๆ ว่ารุ่นไหนแบรนด์ไหนบ้างที่มีคุณภาพสูงและเหมาะสมสำหรับการใช้ทำงานของคุณ
ซึ่งหลักในการเปรียบเทียบ tablet ก่อนที่จะซื้อนั้นก็จะมีดังนี้
ข้อเปรียบเทียบ
tablet ที่ควรรู้ก่อนซื้อ
1.เลือกระบบปฏิบัติการ : iOS / Android
/ Windows
“ระบบปฏิบัติการ” มีส่วนสำคัญมาก
สิ่งนี้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เชื่อมการทำงานระหว่างฮาร์ดแวร์ (ตัวเครื่อง)
กับซอฟต์แวร์ (แอปพลิเคชั่น) ซึ่งในปัจจุบันระบบปฏิบัติการหลักๆ
ที่มีให้เลือกกันในท้องตลาด ก็มีอยู่ 3 แบบด้วยกัน
แต่ละแบบก็จะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไปคร่าวๆ ดังนี้
·
iOS
มีประสิทธิภาพและความเสถียรสูง
รองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ
รองรับแอปพลิเคชั่นมากมายบน App Store
ใช้งานได้แค่เฉพาะบนไอแพด หรือไอโฟน ของ Apple
เท่านั้น
หลักๆ
แล้วจะรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมเฉพาะของ Apple เท่านั้น
·
Android
ใช้งานง่าย
รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมที่หลากหลาย
รองรับแอปพลิเคชั่นมากมายบน Play Store
สามารถปรับแต่ง UI ตามความชอบได้
มีแบรนด์ให้เลือกมากกว่าฝั่ง iOS เช่น
Samsung, Sony, HTC, Huawei
·
Windows
ระบบปฏิบัติการของ Microsoft ที่มีมาอย่างยาวนาน
รองรับไฟล์ทุกรูปแบบ
จึงเหมาะกับการใช้งานด้านเอกสาร
สามารถใช้งานได้หลากหลาย
ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงระดับสูง
รองรับแอปพลิเคชั่นมากมายจาก Windows
Store
2. เช็คสเปค CPU / GPU / Ram / Rom
นอกเหนือจากระบบปฏิบัติการแล้ว
เครื่องจะอืดหรือลื่นหัวแตกก็วัดกันตรงนี้ล่ะค่ะ
(แน่นอนว่าระดับของสเปคก็จะสัมพันธ์กับราคาด้วย) หลัก ๆ เลยที่เราต้องดูก็จะมี
ดังนี้
1.
CPU หรือ หน่วยประมวลผลหลักของเครื่อง
มีวิธีเลือกง่าย ๆ คือ
·
จำนวน Core ทำหน้าที่เหมือนกับแกนสมอง
Core ยิ่งเยอะก็จะยิ่งดี เช่น 1 core/single
core, 2 core/dual-core, 4
core/quad-core แน่นอนว่าจากตัวอย่างพวกนี้ quad-core แรงสุดค่ะ
·
ความเร็วประมวลผล หน่วยเป็น GHz
ยิ่งมากก็แปลว่าเร็วมากค่ะ
·
สถาปัตยกรรม คือ Bandwidth ที่จะใช้ในการรับส่งข้อมูล
ถ้าเป็น 64Bit การรับส่งข้อมูลก็จะดีกว่า 32bit ค่ะ
2.
GPU หรือ หน่วยประมวลกราฟฟิค
ข้อนี้จะมีความสำคัญสำหรับคนที่ใช้แท็บเล็ตหรือมือถือสำหรับเล่นเกม
หรือใช้ทำงานเกี่ยวกับภาพและกราฟฟิค เพราะแค่ CPU แรง
Ram เยอะ อาจไม่พอ จึงควรดู GPU ที่เหมาะสมเพื่อการใช้งานที่ลื่นไหลด้วย
3.
Ram คือ หน่วยความจำหลัก
ใช้ในการรันแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ
ซึ่งถ้าน้อยเกินไปคุณก็จะได้เจอกับอาการแอปค้างหรือเด้งได้ ยิ่งเยอะก็ยิ่งดีค่ะ
แต่ก็ไม่ต้องเยอะเกินนะคะ เลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานของตัวเองก็พอ
4.
Rom คือ หน่วยความจำตัวเครื่อง
หรือที่เราเรียกกับว่า “ความจุ” นั่นแหละ ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ
ซึ่งถ้ามีเยอะเครื่องก็จะจุข้อมูลได้เยอะนั่นเอง
3.
ขนาดหน้าจอ ความละเอียดในการแสดงผล
ข้อนี้คงไม่ต้องอธิบายกันยาว
เพราะขึ้นอยู่กับประเภทการใช้งานและความพอใจส่วนตัวล้วน ๆ
ขนาดจอโดยทั่วไปมีให้เลือกตั้งแต่ 7 – 12 นิ้ว ถ้าอยากได้แบบที่พกพาสะดวก
เลือกจอใหญ่ 12 นิ้วก็คงจะไม่ตอบโจทย์นัก ก็เลือกให้เล็กลงมาหน่อยดีกว่า
ส่วนความละเอียดในการแสดงผล (Resolution)
ก็เช่นกันค่ะ ถ้าจะใช้งานทั่ว ๆ ไป เช่น งานเอกสาร
ก็อาจไม่ต้องการความละเอียดมาก (แต่อาจจะต้องการหน้าจอใหญ่ ๆ )
แต่ถ้าต้องใช้ทำงานกราฟฟิค ตัดต่อวีดีโอ หรืออยากดูหนังแบบฟิน ๆ ก็ควรเลือกที่เป็น
Full HD ก็คือความละเอียดตั้งแต่ 1280 x 720
ขึ้นไปค่ะ
4. น้ำหนักเครื่อง
อีกปัจจัยที่ห้ามลืมค่ะ
ควรเลือกให้สอดคล้องกับการใช้งาน
ถ้าต้องพกพาไปใช้ด้วยทุกวันแล้วเครื่องดันหนักมันก็คงไม่โอเค
เว้นแต่ว่าคุณอยากใช้แท็บเล็ตออกกำลังแขนแทนดัมเบล อันนี้เราก็ไม่ว่ากัน
5. ความจุแบตเตอรี่ การชาร์จไฟ
ในข้อนี้จะเป็นตัวกำหนดความอึดของเครื่องเลยค่ะว่า
จะใช้งานได้ยาวนานแค่ไหน นอกจากนี้ ก็อาจนำเรื่องของการรองรับระบบ Fast
Charge รวมถึงระยะเวลาในการชาร์จ
มาพิจารณาประกอบด้วยก็ได้ค่ะ
6. การเชื่อมต่อ การโทร
ในส่วนการเชื่อมต่อนั้น รุ่นที่รองรับทั้ง Wi-Fi
และ LTE (3G, 4G) จะมีราคาแพงกว่า
ในกรณีที่คุณต้องนำไปใช้งานนอกบ้านอยู่เป็นประจำเลือกแบบใส่ซิมรองรับ 3G 4G
ก็เหมาะสม แต่ถ้าเน้นการใช้งานภายในบ้าน รองรับแค่ Wi-Fi อย่างเดียวก็น่าจะพอค่ะ
ส่วนการโทรก็เช่นกันค่ะ
สำหรับคนที่ไม่ชอบพกเครื่องมือสื่อสารหลาย ๆ เครื่อง
ถ้าอยากได้แบบเครื่องเดียวจบฟังก์ชั่นนี้ก็จะน่าสนใจ
แต่ถ้าใครที่คิดว่าไม่จำเป็นก็ตัดออกไปได้เลยค่ะ จะได้ประหยัดงบตรงนี้ไป
7. ราคา การบริการหลังการขาย
จริง ๆ แล้ว “ราคา”
อาจเป็นสิ่งหลายคนกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าจะให้งบกับมันเท่าไหร่ อยากให้ทุกคนนำปัจจัยทั้งหมดเอามาเปรียบเทียบกันด้วย
โดยให้ราคาเป็นส่วนหนึ่งของการเปรียบเทียบแทน เพื่อหาความคุ้มค่าให้มากที่สุด
อย่างบางรุ่นอาจจะเกินงบที่เราตั้งไปแค่หลักร้อย แต่สเปคแรงกว่าเยอะ
ถ้าเราเลือกตัดช้อยส์นี้ไปแต่แรก เราก็อาจมาเสียดายภายหลังได้ค่ะ
แหละทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อเปรียบเทียบ
tablet ที่เราควรรู้ก่อนที่จะซื้อที่เราเอามาฝากกับทุก
ๆ คนหวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการที่จะช่วยให้คุณมีแนวทางการเลือกซื้อ tablet
ได้ง่ายและเหมาะสมกับการใช้งานของคุณนะคะ
#เปรียบเทียบ tablet